ครั้งนี้ยกประเด็นเรื่องการเปลี่ยนยางรถยนต์มาเสนอ !!
เเละไขข้อสงสัยให้ทุกท่านได้ทราบกัน เพราะหลายคนคงสงสัยกันว่าเมื่อไรควรเปลี่ยนยาง เพราะที่จริงใช่ว่าเราจะมองภายนอกว่าดอกยางยังเหลือก็ใช้ได้เรื่อยๆ เเต่ความเป็นจริงเเม้ดอกยางเหลืออยู่เยอะเเต่หากดอกยางเเข็ง ยางชุดนั้นก็ไม่สามารถให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้ จึงควรต้องรู้กันสักเล็กน้อย
บางคนบอกว่ายางรถยนต์นั้นใช้งานได้ 40,000 กิโลเมตร หรือ 2-3 ปี บางคนก็ว่ามากกว่านั้น เเต่ที่จริงถ้านึกถึงบทความที่เคยเขียนเรื่องเทรดเเวร์ ท่านจะรู้ทันทีว่ามันไม่สามารถกำหนดเวลาที่เเน่นอนได้ อีกทั้งการใช้งานของเเต่ละคนก็ต่างกัน จึงต้องตรวจสอบด้วยตนเองเป็นหลัก ง่ายสุด คือ ดูจากความลึกของดอกยาง โดยยางรถยนต์นั้นจะมี “สะพานยาง” (Tread Wear Indicators) ซึ่งจะสูงประมาณ 1.6 มิลลิเมตร หากดอกยางสึกเหลือประมาณสะพานยางเมื่อไร ก็ควรเปลี่ยนยางโดยรวดเร็ว
เเต่อย่างที่กล่าวว่าบางครั้งจะวัดเพียงความสึกของดอกยางก็ไม่ได้ ควรเช็คที่ความเเข็งของดอกยางด้วย ง่ายสุดก็ใช้สิ่งที่มีในร่างกายของมนุษย์เป็นตัววัด โดยใช้เล็บจิกที่ดอกยางหากเเข็งเกินจนจิกไม่ลง เเนะนำให้รีบเปลี่ยนทันที เพราะยางเเทบจะไร้ประสิทธิภาพการยึดเกาะเเล้ว หากฝืนใช้งานเเล้วต้องเลี้ยวด้วยความเร็วสูงหรือขับในขณะฝนตก โอกาสที่รถจะหมุนเท่ากับ 50 : 50 ซึ่งเสี่ยงมาก เพราะอย่าลืมว่าสิ่งเดียวของรถที่สัมผัสกับพื้นถนนก็คือ “ยาง” จึงควรใส่ใจเป็นพิเศษ อีกสิ่งสิ่งที่ควรตรวจสอบ คือ ดอกยาง หากเเตกลายงาเเล้วก็ไม่ควรใช้งานเช่นกัน
เเละยังต้องวัดด้วยความรู้สึกอีก หากขับรถเเล้วรู้สึกว่าพวงมาลัยสั่น ก็อาจเป็นได้ว่ายางที่ใช้สึกไม่เท่ากัน หากเป็นช่วงเเรกๆ สลับยางก็ช่วยได้อยู่ เเต่หากใช้งานนานเเล้วก็ควรจะเปลี่ยน เเละอย่าลืมเช็คถึงสาเหตุที่ยางสึกไม่เท่ากันด้วย ซึ่งจุดนี้มักพบกับรถที่โหลดเตี้ย เพราะองศาเเคมเบอร์จะเพี้ยน หรือที่เรียกว่า “ล้อเเบะ” ยางด้านในจะสึกเร็วกว่าด้านนอก หากไม่เเก้ไขเปลี่ยนยางชุดใหม่ไม่นานก็ต้องเจอกับปัญหานี้อีก
นอกจากเรื่องของดอกยางเเล้ว ก็ควรตรวจสอบเเก้มยางด้วย หากมีอาการบวมหรือเเตกไม่ควรเสี่ยงใช้งาน หากจำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูง เเละต้องรีบทำการเปลี่ยนยางให้เรียบร้อยด้วย อย่าเพิ่งเบื่อเรื่องของยางรถยนต์กันนะครับ เพราะสิ่งที่คุณจะได้มากกว่าการที่เข้าร้านยางเพื่อเปลี่ยนโดยไม่รู้อะไรเลยอย่างเเน่นอน